เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ส.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะสัจธรรม ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแสงเดือนแสงตะวันมันโผล่ขึ้นมา แสงสัจธรรมโผล่ขึ้นมา ถ้าโผล่ขึ้นมาทำให้โลกนี้สว่างไสวไง ถ้าโลกนี้สว่างไสวมันมีความร่มเย็นเป็นสุข 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกประพฤติปฏิบัติสามเณรราหุลเกิดแล้ว นางพิมพากกอยู่ จะเข้าไปดูก็ไม่ได้สิ่งใดก็ไม่ได้มันละล้าละลังๆเราจะบอกว่าความละล้าละลังนั้นมันเป็นความมืดมนไง

ในชีวิตเรามีความลังเลสงสัย มีความทุกข์ความยากในหัวใจ มีแต่มืดมนไปทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาความมืดมน วันปกติของเราคือความมืดมน วันทำมาหากิน เราต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความดำรงชีวิตของเรา

แต่ถ้าเป็นสัจธรรมๆวันที่สว่างไสวไง ถ้าวันสว่างไสว มันสว่างไสวที่ไหนล่ะ ถ้ามันสว่างไสวมันต้องสว่างในหัวใจของเราไงถ้าหัวใจเราเบิกบาน ถ้าหัวใจเราเบิกบานนะชีวิตนี้แจ่มใสนะ ชีวิตเป็นเครื่องอยู่ ความกัดฟันทนไปได้ถ้าชีวิตที่มีแต่ความมืดมน มีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ

เวลาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เกิดเป็นมนุษย์มีคุณประโยชน์มากเพราะเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้มีสมองมนุษย์จะแสวงหาสัจธรรมขนาดไหนก็ได้ มนุษย์จะทำมาหากินในโลกก็ได้มนุษย์จะทำร้ายใครก็ได้ มนุษย์จะฉ้อโกงใครก็ได้ มนุษย์จะทำลายใครก็ได้มนุษย์ทำลายล้างโลกก็ได้มันได้ทั้งนั้นน่ะมนุษย์ทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะอะไร เพราะความมืดมนของหัวใจ ถ้าความมืดมนของหัวใจมันยิ่งทำลายเขาไปมหาศาลเลยทำลายมหาศาลเพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดกั้นหัวใจอันนี้ ถ้ามันปิดกั้นหัวใจอันนี้ ทำสิ่งใดแล้วจะเป็นของเราๆ ไง ถ้าเป็นของเราๆ นะ

ถ้าจิตใจมันสว่างไสวจิตใจมันมีสัจธรรมในหัวใจนะ มันเสียใจ ทำสิ่งใดที่บาดหมาง ทำสิ่งใดที่ทำให้คนทุกข์คนยากทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลยๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ

แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันทำทั้งนั้นน่ะมันทำ มันต้องการ มันเหยียบย่ำเขาไปทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงมันทำไปแล้วมีแต่ความทุกข์ความยากเวลากระทำเวลาทำโดยที่ขาดสติไป ทำแล้วมันด้วยความภูมิใจของเขา

แต่ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะกลับมา มันเสียใจตลอดเวลา ความที่เสียใจๆ อย่างนั้น คนที่มีคุณธรรมในหัวใจ เราก็อยากเป็นคนอย่างนั้น เราก็อยากจะเป็นคนอย่างนั้น แต่การจะเป็นคนอย่างนั้นได้มันต้องฝึกฝนไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาศึกษาแล้ว ๙ประโยค ๑๐ประโยค เขารู้สัจธรรม เขาเรียงความ เขาแต่งธรรมะได้ทั้งนั้นเลย แต่เวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติเขาไปถามหลวงปู่ฝั้นไง “ผมมีความรู้รอบไปหมดเลย ผมรู้ธรรมะทุกแขนงทุกบททุกบาทผมรู้หมดเลยแต่จะให้ผมปฏิบัติอย่างไรล่ะ จะให้ผมทำอย่างไร” นี่ไปถามหลวงปู่ฝั้น 

หลวงปู่ฝั้นท่านเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังต่อๆ เนื่องกันมาไง จบ ๙ประโยคนะ มีการศึกษาธรรมะเข้าใจทั้งนั้นน่ะ แต่จะเอาจริงๆ เข้า ไม่รู้จักตนเองไง แต่หลวงปู่ฝั้นท่านถามกลับ ท่านถามว่า ทุกข์มันอยู่ที่ไหน ทุกข์มันอยู่ที่ไหนกำหนดลงที่นั่น

ทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะทุกข์มันอยู่ที่หัวใจ เห็นไหมทุกข์อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ว่าทุกข์อยู่ที่ไหน แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว คนเราทุกข์เพราะมีความคิด คนเราทุกข์เพราะมีตัณหาความทะยานอยากความคิดอย่างนี้มันคิดขึ้นมาในหัวใจของเรา แล้วตัณหาความทะยานอยากมันยังกระตุ้น มันมีความทุกข์ความยากไปตลอด นี่ทุกข์เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก 

แต่คนเรานะ เราฝึกฝนของเราๆ เราฝึกฝนของเราเรามีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเราเรายับยั้งของเราได้ เรายับยั้งความคิดของเราได้ ถ้าเรายับยั้งความคิดของเราได้ เราทำความสงบของใจของเราได้ จิตใจของเรามีสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามันเกิดการเกิดงานเกิดงานคือมันเกิดปัญญาขึ้นถ้าเกิดปัญญาขึ้น มันเกิดจากความคิดของตน ความคิดของตนมันคิดมาจากไหนใครเป็นคนยุแหย่มันขึ้นมาแล้วยุแหย่แล้วใครไปส่งเสริมมันขึ้นมา นี่มันรู้เท่าทันความคิดของตน มันแยกความคิดของตน 

ความคิดเป็นธรรมารมณ์อารมณ์ไงอารมณ์ที่เกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากไงแต่เรามีสติมีปัญญาขึ้นมาเราจับต้องของเราได้ ถ้ามันพิจารณาไป มันเห็นของมัน ถ้ามีความรู้ความเห็นอย่างนี้ปัญญาเกิดอย่างนี้ ฝึกฝนขึ้นมาแล้วมันรู้มันเห็นของมันถ้ารู้เห็นขึ้นมาสิ่งที่ทำไปๆ มันก็มีสติปัญญาเท่าทันความคิดของตน ถ้าความคิดของตนอย่างนี้มันเป็นการกระทำกระทำเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากการฝึกฝน เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติไง 

แต่คนที่มีการศึกษาศึกษามาจน ๙ประโยค ๑๐ประโยค เขาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วเขาจับต้นชนปลายไม่ถูกเขามีแต่ความคิดส่งออกไงความคิดส่งออกมันความคิดของเรา เรามีสติปัญญามาก เรามีการศึกษามา เรามีความรู้มาก แต่ทุกข์น่าดูเลย มีความรู้มากๆ มีสติมีปัญญามาก ทุกข์น่าดูเลย มันฟืนมันไฟทั้งนั้นเลย นี่ตัณหาความทะยานอยากไง

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา มีการฝึกฝนๆอย่างนี้ มันเกิดจากคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจคุณธรรมมันเกิดจากไหนล่ะคุณธรรม เห็นไหม เราอยากจะเกิดมีคุณธรรม เราอยากจะมีทรัพย์สมบัติ จะมีธรรมะในหัวใจมหาศาลเลย แล้วมันเกิดขึ้นอย่างไรล่ะธรรมะมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ

มันเกิดขึ้นมาจากเรามีสติปัญญา มันต้องมีอำนาจวาสนาก่อน คำว่า “มีอำนาจวาสนา” คนมันระลึกรู้ คนที่มีอำนาจวาสนานะ มันมีสติยั้งคิด มันยั้งคิดชีวิตนี้คืออะไรเกิดมาทำไมเกิดมาแล้วได้อะไร มันยั้งคิดไง พอมันยั้งคิดสิ่งที่มีค่าไง

เวลาหลวงตาท่านสอนประจำนะสิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือความรู้สึกของคน คือหัวใจเท่านั้นไม่มีอย่างอื่นสัมผัสธรรมได้เลย แล้วสิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือหัวใจ คือความรู้สึก แล้วความรู้สึกอันนี้ความสัมผัสได้ถ้ามีสติ ความสัมผัสมันก็ยับยั้งได้ ถ้ามีสมาธิขึ้นมามันสัมผัสได้ถึงความสุข ถ้ามีปัญญาขึ้นมามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาจากหัวใจดวงนั้นไง

ถ้าใจดวงไหนไม่มีมรรค ใจดวงนั้นก็ไม่มีผลไงแล้วถ้ามันเกิดมันเกิดจากหัวใจดวงนั้น ก็ต้องหัวใจดวงนั้นประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะเกิดขึ้นจากใจดวงนั้นถ้าใจดวงนั้นขึ้นมา แต่ใจดวงนั้นมันโดนตัณหาความทะยานอยากโดนอวิชชามันครอบงำไว้ พอครอบงำไว้ด้วยความคิดเรานี่ความคิด ไม่เชื่อไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เชื่ออะไรเลย เราเป็นคนสุดยอดคน 

ไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ ไม่เห็นมันให้โทษให้คุณใครเลยแต่ความไม่เชื่อทำให้เราเสียโอกาสไงเพราะความไม่เชื่อนั้น แล้วถ้ากิเลสมันยุมันแหย่ขึ้นมา มันก็เชื่อกิเลสไงเวลากิเลสมันพูด เชื่อไง ของเราๆๆ มันเชื่อกิเลสไง

แต่ถ้าเป็นธรรมะๆ ไม่เชื่อๆ ไง ไม่เชื่อก็ยังไม่ได้พิสูจน์ไง ถ้าพิสูจน์แล้วเราขวนขวายกันมาอยู่นี่ เรามาเสียสละทานของเรา ของของเราทั้งนั้นน่ะ เราหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานเราทั้งนั้นน่ะ แต่ทำไมเราอยากจะทำล่ะ เราอยากจะทำเพราะอะไรเพราะเราจะเปิดหัวใจของเราไง 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการนะ เหมือนกับผู้ที่ภาชนะที่พลิกคว่ำไว้ไงภาชนะที่คว่ำไว้สิ่งใดก็เข้ามาไม่ได้ใช่ไหมภาชนะที่มันหงายขึ้นมา ฝนตกแดดออกมันรับรู้ของมันใช่ไหม

หัวใจของเราๆ ที่เราศึกษาเราค้นคว้า เราจะหงายภาชนะในหัวใจเราขึ้นมาถ้ามันหงายภาชนะในหัวใจเราขึ้นมา มันมีการกระทำ มันปลอดโปร่งโล่งโถง ถ้ามันปลอดโปร่งโล่งโถง มันทำสิ่งใดมันก็ทำของมันได้ ถ้ามันทำของมันได้

วันพระๆชีวิตเราไม่มืดมน ชีวิตมืดมน ชีวิตมืดมนหดหู่ มันไปไหนไม่รอดไง แต่ถ้าชีวิตของเรา ชีวิตเราเราเป็นชาวพุทธ เรามีสติมีปัญญาของเราเราขวนขวายของเราไงหน้าที่การงานเราก็ได้ปากกัดตีนถีบทำของเรามาแล้ว มันก็ได้เท่านี้แหละถ้าอยู่อีกวันหนึ่ง เราก็ทำตรงนี้

แต่ถ้าเราเสียสละของเราไป เราไปวัดไปวา ไปทำบุญกุศลในหัวใจของเราเพื่อต้องการให้หัวใจเรามันผ่อนคลาย ถ้ามันผ่อนคลายแล้ว สิ่งใดที่มันอึดอัดขัดข้องในใจแล้วมันค่อยมาวิเคราะห์วิจัยกันอีกทีหนึ่ง 

คนเราเกิดมามันมีเวรมีกรรมของมันมาทุกๆ คน จิตดวงนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันต้องทำของมันมาทั้งนั้นน่ะแล้วใจของเราเราก็ยืนยันได้ว่าใจของเราต้องเคยทำคุณงามความดีของเรามาเหมือนกัน มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหนมันก็ทุกข์ยากได้ในปัจจุบันนี้ แต่เราไม่เคยสร้างกรรมดีมาเลยหรือ

ถ้าเราเคยสร้างกรรมดีมา เราถึงใส่ใจ ถึงค้นคว้าของเราไง ถ้าเราใส่ใจเราค้นคว้าของเรา เรามาทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเราเพื่อไม่ให้ชีวิตของเรามันมืดมนอนธการเกินไปนัก เราต้องการแสงสว่างๆ แสงสว่างในโลกนี้ดูสิ แสงสว่างถ้ามันพระอาทิตย์ขึ้นถ้าในที่ร่มมันก็มีแสง เราเปิดไฟอยู่ในห้องนอกห้องมันก็ไม่มีแสง

แสงสว่างแห่งปัญญา มันทะลุปรุโปร่งไปหมดมันแทงเข้าไปทั้งหมด สิ่งใดที่มันมืดบอด สิ่งใดที่มันหมักหมมไว้ปัญญามันจะไปขุดคุ้ย มันจะไปชำระสะสาง นี่แสงสว่างแห่งปัญญาๆ ไง ถ้าแสงสว่างแห่งปัญญา ปัญญาการดำรงชีวิต

เราดำรงชีวิต โลกเขาจะเยาะเย้ยถากถางนะ คนไปวัดนี่คนมีปัญหาทั้งนั้นน่ะไอ้ฉันคนไม่ต้องไปวัด ฉันมีความสุข...ขี้โม้ไอ้คนไปวัดๆเป็นคนที่เขามีสติปัญญาของเขา เขามีสติปัญญาของเขาเขาจะค้นคว้าหาตัวของเขาดูสิ จบ ๙ประโยคแล้วจะให้ปฏิบัติ ให้ผมเริ่มตรงไหนล่ะ 

ถ้าเขาไปสอนญาติโยมนะเขาว่าเขาเก่งหมด เขารู้หมดพุทโธ เขารู้หมด แต่เวลาเขาจะทำจริงๆเขาสงสัยไงเพราะปัญญาเขาเยอะ ความรู้เขามาก เวลาจริงๆ ทำขึ้นมาเขากลับสงสัยพอสงสัยแล้วในสังคมเชื่อมั่นหลวงปู่ฝั้นใช่ไหม สมัยนั้นหลวงปู่ฝั้นท่านมีชื่อเสียงไง ก็ไปถามหลวงปู่ฝั้น“ผมจบ ๙ประโยค เป็นเลขาเจ้าคณะภาคด้วยนะแล้วผมอยากจะปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรล่ะ”

หลวงปู่ฝั้นท่านย้อนกลับทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะกำหนดลงที่นั่นทุกข์มันอยู่ที่ไหน กำหนดลงที่นั่น 

นี่ไง เรามีความรู้ๆความรู้เราเยอะแยะ ความรู้เรามีมหาศาลเลยถ้าสอนคนอื่นได้หมดเลยสอนใครก็ได้ฉันไบรต์มากปัญญาเลอเลิศเลย แต่เอาเข้าจริงๆ ตัวเองจะทำก็สงสัยเพราะปัญญามากเกินไปเพราะปัญญามันมาก มันเลยลังเลสงสัยไปหมดเลย แล้วเวลาจะกลับมาลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ “โอ้โฮ! มันเป็นสมถะมันไม่เกิดปัญญา”

ก็เอ็งยังไม่รู้จักตัวมึงเลย เราต้องค้นคว้าหาตัวเราก่อนใช่ไหมเราต้องค้นคว้าหาจิตใจของเราใช่ไหมจิตใจที่มันมืดมันบอด จิตใจที่มันมืดมนอนธการมันทุกข์ยากขนาดนี้ ไอ้ปัญญาๆศึกษามาเป็นสัญญา เราก็อ้างว่าเป็นปัญญา มันไปค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปศึกษามา ไปจดจำมาทั้งนั้นน่ะ ของจดจำมามันก็ไม่จริงทั้งนั้นน่ะ 

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงมันจะเกิดขึ้นจากเราไง ดูสิเราทำงานได้เราทำสิ่งใดได้เราก็ทำได้หมดแหละ งานชิ้นนั้นเราทำไม่เป็น เราทำไม่เป็นทำไม่ได้ ก็ต้องฝึกหัดใช่ไหม เพราะเราไม่เคยทำมาไงแต่เราศึกษามาทฤษฎีเราศึกษามาได้หมดเลยว่างานอย่างนี้ควรทำอย่างไรๆ แต่เวลาจะทำมันก็ขัดๆเขินๆ ไปทั้งนั้นน่ะ เพราะว่าเราไม่เคยทำ แต่ทฤษฎีเรารู้ๆ ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เรารู้ๆ ปริยัติเขาศึกษามาให้ปฏิบัติ นี่ไง เขาไม่ขัดแย้งกันไม่ขัดแย้งกันปริยัติศึกษาแล้ว ศึกษาเป็นทฤษฎีแล้วให้ปฏิบัติ 

เวลาปฏิบัติขึ้นมาหลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงตาเวลาจะปฏิบัติสิ่งที่ศึกษามาแล้ววางไว้เพราะศึกษามาเป็นแนวทางเวลามาค้นคว้าเวลาเราผิดพลาด เอามาไตร่ตรอง แต่ตอนนี้ที่เราปฏิบัติ เราต้องการสัจจะเราต้องการความจริง เราต้องการ

จิตใจของเราที่มันมืดมนอนธการมันก็มืดมนศึกษามาความรู้มหาศาลเลยแต่ก็มืดมน แต่ถ้ามันจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาวางไว้ก่อน แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำไมต้องหายใจเข้าพุท ออกโธล่ะพอหายใจเข้าพุท ออกโธ มันก็เป็นวิตกวิจารวิตกวิจารก็คือความคิด ความคิดของเราความคิดโดยกิเลสมันยุมันแหย่ ความคิดมันก็พุ่งออกไปแต่ความคิดเราเกาะ เราเกาะพุทธานุสติไว้มันเป็นสายใยของหัวใจไง มันเป็นกระแสของใจที่มันส่งออกมันส่งออกไปตลอดเวลา เราก็ยับยั้งมันไว้สายใยอันนี้พาดพิงพุทธะไว้พาดพิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ เราจะค้นคว้าหาตัวมันๆ ไง ถ้าค้นคว้าหาตัวมัน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันละเอียดระงับเข้ามา มันพอใจ มันยอมรับ 

นี่ไงศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถึง๙ ประโยค แต่เวลาจะยอมรับความเป็นจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายอมรับไม่ได้ เวลาพุทโธๆ ขึ้นไปจิตใจมันยอมรับ ยอมรับพุทธานุสติ มันยอมรับมันก็เป็นเนื้อเดียวกัน พุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้ นั่นน่ะสัมมาสมาธิ นั่นน่ะตัวมันจริงๆตัวมันจริงมันก็อาศัย ความคิดที่มันเกิดดับๆ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันก็พาดพิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกาะไว้ก่อนๆ

นี่ไง มีคำบริกรรม ใจมันมีกิริยา มีการกระทำ ถ้าใจมันมีกิริยา มีการกระทำ มันก็ได้งานมันขึ้นมา พองานมันขึ้นมา งานคือความสงบในตัวของมันเองพองานสงบในตัวของมันเอง นี่จิตสงบ ถ้าจิตไม่สงบจะเอาอะไรทำงาน คนตายทำงานไม่ได้ คนจะทำงานได้คือคนที่มีชีวิตถึงจะทำงานเป็น

คนตายแล้วทำอะไร คนตายแล้วก็ซากศพไงหัวใจที่มันไม่มีไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีสิ่งใดเลย มันส่งออกไปทั้งหมดมันไปกว้านเอาแต่ฟืนแต่ไฟมันจะมีสิ่งใดเป็นของมันขึ้นมา แล้วพอศึกษามาความรู้มหาศาลก็มืดมนอนธการศึกษามาโง่ศึกษามาให้โง่ไง ไม่ได้ศึกษามาให้ฉลาดไงถ้าศึกษามาให้ฉลาด ศึกษามาแล้ววางไว้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นผลงานของเราเป็นความจริงของเรา 

ในสมัยพุทธกาลนะเวลาเข้าพรรษาอธิษฐานกัน ถือธุดงควัตรเพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ออกพรรษาแล้วใครปฏิบัติได้มากได้น้อยไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าถูกหรือผิดไงใน ๑ พรรษานั้นก็จะขวนขวายจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นผลงานของตนๆ เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ไง สมัยนั้นยังไม่มีการสื่อสาร การสื่อสารมันยังไม่ทันปัจจุบันนี้การพิมพ์ก็ยังไม่มี หนังสือยังไม่มี จะฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องฟังจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การฟังธรรมถึงแสนยากไง ถึงบอกการฟังอันนี้โอกาสยากมากเพราะเป็นธรรมแท้ๆ เป็นธรรมที่ออกมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ออกมาจากหัวใจของพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ นี่เป็นธรรมจริงๆ

แต่ถ้าเราไปฟังธรรมสิ่งที่ไม่จริงเวลาพระไปศึกษากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วออกไปเทศนาว่าการแล้วไปเทศน์ผิดๆ กลับไป ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโมฆบุรุษๆ โมฆบุรุษก็คนโง่ คนไม่มีสติปัญญา แล้วจะไปสอนคนอื่นๆ ไง

แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ได้สัจธรรมะขึ้นมาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ๆ นั่นน่ะความจริงนั่นน่ะสิ่งที่หัวใจที่สัมผัสๆ ไงความจริงมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เรามาวัดมาวากันนะ เรามาทำบุญกุศลกันมันเป็นบุญ มันเป็นอามิส คำว่า “อามิส” เหมือนรถยนต์เลย รถยนต์เติมน้ำมันมาเต็ม มันก็ขับไปได้ไกลใช่ไหมรถยนต์น้ำมันครึ่งถังก็ไปได้ครึ่งทางใช่ไหมรถยนต์ที่ไม่มีน้ำมันเลย มันจอดอยู่นี่ เอ็งกลับไปไม่ได้หรอก เอ็งต้องไปซื้อน้ำมันมาเติม 

ทำบุญกุศลนี่อามิสๆ ก็เติมน้ำมันๆเติมหัวใจเราให้มีบุญกุศลขึ้นมาไง บุญกุศลขึ้นมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไงแต่เวลาสัจจะจริงๆ ขึ้นมาอริยสัจ สิ่งนั้นคุณธรรมอันนั้นมันไม่ใช่อามิสมันเป็นสัจธรรมมันถึงว่าละเอียดลึกซึ้งไง

เราก็รู้ได้แค่รถยนต์เพราะรถยนต์มันก็กินน้ำมันต่อไปก็ใช้ไฟฟ้า ใช้ไฮโดรเจน มันก็ไปเรื่อยของมันเทคโนโลยีมันไปของมันไปแต่ใจอันเก่าทุกข์อันเดิม หาตังค์มาซื้อมันทุกข์เหมือนเก่า 

นี่ไง แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา เป็นความจริงในหัวใจ ไม่เป็นอามิสไง แต่ในเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์มนุษย์เกิดมาโดยความจริงตามสมมุติ เกิดมามีพ่อมีแม่เกิดมามีชีวิตแล้วก็ต้องตายไปหมด คำว่า“ตายไป” คือชั่วคราวไงอายุขัย อายุขัย

แต่เวลามีคุณธรรมในหัวใจนะ ไม่มีการเกิดและไม่มีการตายมันจะเต็มที่ของมัน แล้วมันไปจากไหนล่ะ มันไปจากหัวใจเรานี่แหละ เราจะปฏิเสธว่านรกสวรรค์ไม่มีธรรมะไม่มี เราปฏิเสธทุกข์เราได้ไหม เราปฏิเสธความรู้สึกเราได้ไหมถ้ามันไม่มี เราก็ปฏิเสธสิ ชีวิตนี้ก็ไม่มี ความรู้สึกก็ไม่มี เราไม่เอาอะไรเลยนิพพานนิพพานโดยที่ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย 

นิพพานสงบเย็นก็ควายไง กินหญ้าเสร็จก็ไปนอนแช่น้ำนิพพานสงบเย็น สงบมันก็คู่กับฟุ้งซ่าน เย็นก็คู่กับร้อน ไม่มี

นิพพานคือนิพพาน แต่มันเป็นสมมุติสมมุติที่เขาเอามาเทศนาว่าการกันเท่านั้นน่ะ ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นอย่างนี้ นี่พูดถึงสัจธรรมนะ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ท่านจะยืนยันกับเราเราทำเพื่อนี่ไง

อย่าให้ชีวิตมืดมน ถ้าชีวิตมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ จะมากน้อยแค่ไหนมันก็เศร้าหมองตั้งแต่หยาบละเอียดถ้าปุถุชนเรามันมืดมนตลอดครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นพระอนาคามี 

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แม้แต่ผ่องใสๆ อย่างนั้นยังมืดมนโดยอวิชชาเลยขนาดผ่องใสๆมันยังมืดมนในระดับของมัน

แต่ถ้าเป็นจริงๆ ของเรา เราฝึกหัดของเรา ปฏิบัติของเรา มันมีค่ามีค่าที่นี่ เรานี่ชีวิตมันมืดมนอนธการ ชีวิตมีความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์มาขวนขวายของเรา ประพฤติปฏิบัติของเราสร้างบุญกุศลของเรา สร้างไปทำไม สร้างไปทำไมอำนาจวาสนามีจริงหรือ ภพชาติมีจริงหรือ

ปฏิเสธไป ใครปฏิเสธปฏิเสธไปเถอะแต่ความจริงก็เป็นความจริงเวลาไปเจอมันแล้วคอตกคอตกที่ไหนล่ะคอตกที่มันแก้ไขไม่ได้ไงมันอยู่ในหัวใจไง มันพ้นไปไม่ได้ไง เวลาใครจะพูดอย่างไรมันเรื่องของเขาแต่ความจริงในใจมันของจริงๆเราซื่อสัตย์กับสัจจะความจริงเรามีสัจจะ เราจะทำของเรา

ฟังธรรมๆ วันนี้วันพระ วันพระเป็นผู้ประเสริฐทำให้หัวใจประเสริฐ ให้หัวใจเราเป็นพระให้สมบูรณ์ในใจของเราเอวัง